แอปเปิ้ล กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

แอปเปิ้ล เป็นผลไม้รสอร่อยที่ถูกปากคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนรักสุขภาพหรือคนที่กำลังลดน้ำหนัก เนื่องจากแอปเปิ้ลมีสารอาหารสำคัญหลายชนิดและวิตามินแร่ธาตุอีกมากมาย โดยแอปเปิ้ลที่เราเห็นตามท้องตลาดจะมีให้เลือกหลายสี ซึ่งแต่ละสีเองก็จะมีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการที่ต่างกันออกไป เรียกได้ว่าการกินแอปเปิ้ลแค่วันละลูกก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ได้แล้วค่ะ

ประโยชน์ จาก แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เราทุกคนรู้ว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายเยอะมาก ซึ่งหลักๆแล้วประโยชน์ของแอปเปิ้ลหลักๆได้แก่

  1. ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความอยากอาหาร
  2. แอปเปิ้ลมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยชะลอวัย ชะลอความแก่ชรา
  3. หากรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 2-3ลูกจะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้
  4. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานเนื่องจากมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูง แถมยังเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรด ไขข้อรูมาติก โรคเกาต์ หรือ ดีซ่าน เป็นต้น
  5. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง ,โรคเลือดออกตามไรฟัน, โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  6. ช่วยทำให้หลอดเลือดของเราแข็งแรง ช่วยลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต ลดไข้ หรือลดกรดในกระเพาะอาหาร แถมยังช่วยละลายเสมหะได้อีกด้วย
  7. ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกและยังช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

แอปเปิ้ล กี่แคล

แอปเปิ้ล ถูกใช้เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพและการลดน้ำหนักมาอย่างยาวนาน เพราะมีสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ซึ่ง แอปเปิ้ล 100 กรัม ให้พลังงานที่ 52 กิโลแคลอรีเท่านั้นค่ะ

วิธีรับประทาน แอปเปิ้ล ให้มีผล การลดน้ำหนัก

ถึงเราจะรู้ดีว่าแอปเปิ้ลมีวิตามินและแร่ธาตุจำเป็นมากมาย แต่ก็มีในปริมาณที่พอเหมาะไม่ได้สูงมากเท่า กล้วย ส้มหรือฝรั่ง การจะรับประทานแอปเปิ้ลเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด จึงควรรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 2-3 ลูกและควรล้างให้สะอาดและกินทั้งเปลือกโดยที่ไม่ปอกเปลือกออกก่อน และที่สำคัญที่สุดคือ ควรทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่นๆร่วมด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดสารอาหาร

กิน แอปเปิ้ล ในอาหารทุกมื้อ

แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ยิ่งคนที่ต้องการลดน้ำหนักด้วยแล้ว แอปเปิ้ลเหมาะมากสำหรับการรับประทาน ไม่ว่าจะทานเป็นของว่าง หรือทานควบคู่ไปกับอาหารทุกมื้ออย่างน้อยๆมื้อละ 1ลูกแบบไม่ต้องปอกเปลือกก็จะช่วยให้เราได้รับสารอาหารจากแอปเปิ้ลได้อย่างครบถ้วน

มีประสิทธิภาพมากกินก่อนอาหาร

หลายคนที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนก็มักจะกิน แอปเปิ้ล ก่อนการรับประทานอาหารหลักของทุกมื้อ เนื่องจากจะช่วยให้รู้สึกอิ่มและทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งอาจจะเคยเห็นบางคนกินเฉพาะแอปเปิ้ลอย่างเดียวสำหรับการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน ถามว่าทำได้ไหม ทำได้ค่ะ แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์จะได้ปลอดภัยค่ะ

เคี้ยวให้ดี

การกินแอปเปิ้ลหรือการกินอาหารอื่นๆ ก็ตาม แนะนำให้ค่อยๆกินและเคียวให้ละเอียด อย่ากินเร็วหรือรีบกินจนเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้กินได้เยอะกว่าเดิมแล้วเวลาที่กินเร็วๆจนกว่าจะรู้สึกอิ่มนั้น เมื่อปล่อยไปสักพักจนอาหารเรียงเม็ดดีแล้ว คุณจะรู้สึกจุกเพราะทานมากเกินไป ด้วยเหตุนี้คนที่ทานเร็วๆจึงลดความอ้วนได้ยากและช้ากว่าคนที่ค่อยๆทาน เพราะหากไม่ควบคุมปริมาณการกินอาหารที่ดี ก็อาจจะกินเยอะหรือกินเกินความจำเป็น

การรับประทานแอปเปิ้ล ที่แนะนำ

การรับประทานแอปเปิ้ลให้เหมาะสมที่สุดสำหรับการลดน้ำหนักหรือดูแลสุขภาพ สิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงนั่นก็คือ การเลือกรับประทานแอปเปิ้ลให้ถูกชนิด เนื่องจากแอปเปิ้ลในท้องตลาดมีให้เลือกหลายสี และแต่ละสีก็จะมีคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกันออกไป เช่น

แอปเปิ้ลแดง ที่มีสีแดงเข้มๆ

แอปเปิ้ลชนิดนี้จะมีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากและมีวิตามินซีสูง ซึ่งแอปเปิ้ลสีแดงเข้มๆ 100 กรัม จะให้พลังงาน 59 กิโลแคลอรี่ มีปริมาณน้ำ 85.33 กรัม และน้ำตาล 10.48 กรัม แอปเปิ้ลแดงเข้มจึงเหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง ผิวสวยสดใส ลดเลือนริ้วรอยและชะลอวัย

แอปเปิ้ลสีแดงอ่อนๆ

แอปเปิ้ลสีแดงอ่อนๆหรือสีออกชมพูสดใส จะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย ลดการอักเสบ ป้องกันเลือดออกตามไรฟันแถมยังช่วยลดการเกิดฝ้าได้อีกด้วย โดยแอปเปิ้ลสีแดงอ่อนๆนี้ 100 กรัม ให้พลังงาน 63 กิโลแคลอรี่ มีปริมาณน้ำ 84.16 กรัม และน้ำตาล 11.68 กรัม

แอปเปิ้ลเขียว

แอปเปิ้ลเขียวเป็นแอปเปิ้ลที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักมากที่สุด เพราะให้พลังงานต่ำแถมมีน้ำตาลน้อยมาก นอกจากผลดีทางด้านการลดน้ำหนักแล้วยังช่วยชะลอวัยและบำรุงผิวพรรณได้ดี ซึ่งแอปเปิ้ลเขียว 100 กรัม ให้พลังงาน 58 กิโลแคลอรี่ มีปริมาณน้ำ 85.46 กรัม แต่น้ำตาลแค่น้ำตาล 9.56 กรัมเท่านั้น

แอปเปิ้ลสีเหลืองๆ

แอปเปิ้ลสีเหลืองๆ จะมีเส้นใยสูง เหมาะมากสำหรับคนรักสุขภาพ เพราะช่วยบำรุงผิว บำรุงสายตา ช่วยล้างสารพิษ และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้ายแรงต่างๆ เช่นโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดและโรคต้อกระจก ซึ่งแอปเปิ้ลสีเหลือง 100 กรัม ให้พลังงาน 57 กิโลแคลอรี่ มีปริมาณน้ำ 85.81 กรัม และน้ำตาล 10.04 กรัม

ข้อควรระวังในการกิน แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลถึงจะเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานน้อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง แต่การกินแอปเปิ้ลที่มากเกินไปก็ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ ซึ่งหนทางที่ดีที่สุดในการกินแอปเปิ้ล คือ ควรกินไม่เกินวันละ 4 ลูก และก่อนกินควรล้างให้สะอาดและกินทั้งเปลือก ไม่ควรปอกเปลือกทิ้ง เนื่องจากในเปลือกของแอปเปิ้ลนั้นจะมีสารอาหารอยู่มากกว่าในผลของแอปเปิ้ลอีกค่ะ

และที่สำคัญควรเลือกกินแอปเปิ้ลทั้งลูกแบบไม่ทิ้งเปลือก มากกว่าการกินแต่น้ำของแอปเปิ้ล ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้กล่องหรือนำแอปเปิ้ลมาคั้นเอาแต่น้ำ เพราะการคั้นเอาแต่น้ำเราจะได้แค่น้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากกินมากๆนอกจากจะไม่ค่อยเกิดประโยชน์เท่าไรแล้ว ยังเสี่ยงต่อการอ้วนอีกด้วย

อยากมีสุขภาพแข็งแรงควรกินแอปเปิ้ลอย่างน้อยวันละ 1 ลูก

แอปเปิ้ลมีสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แถมยังช่วยบำรุงผิว ช่วยชะลอวัยและช่วยบำรุงร่างกาย การจะกินแอปเปิ้ลให้ได้ประโยชน์สูงสุดควรเลือกกินทั้งเปลือกและกินวันละ 2-3 ลูกแต่ไม่ควรเกิน 4 ลูก แต่ถ้าไม่สามารถทานได้ 2-3 ลูกต่อวันจริงๆแนะนำว่าควรทานอย่างน้อยวันละลูกก็ยังดีค่ะเพื่อสุขภาพร่างกายของตัวคุณเอง

1

2

Related posts

  1. ข้าวบาร์เลย์กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

  2. ข้าวบาสมาติ กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

  3. ส้มตำ กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

  4. มะม่วง กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

  5. สตรอว์เบอร์รี กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

    สตรอว์เบอร์รี กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

  6. ชินนาม่อน กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

    ชินนาม่อน กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

  7. ทุเรียน กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

  8. แตงโม

    แตงโม กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

  9. ไข่ต้ม กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

    ไข่ต้ม กี่แคล กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด